รีวิวหนัง : The King's Man

The King's Man กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน เป็นภาพยนตร์ภาคแยกของคิงส์แมนที่ย้อนไปเล่าเรื่องจุดกำเนิดของกลุ่มสายลับสุดเท่ ในช่วงต้นยุคคริสต์ศตวรรษที่ 20 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เหล่าเจ้าหน้าที่สุดเก่งกล้าของอังกฤษได้ถูกรวบรวมมาทำภารกิจหยุดยั้งแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กว่าล้านคน

การเล่าเรื่องสำหรับเรื่องนี้ผมมองว่าทำได้กลางๆ ครับ โดยเฉพาะหากมองจากมาตรฐานของภาคแรกที่ทำออกมาได้ค่อนข้างสูง ตอบโจทย์ทั้งเนื้อหา ความสนุกของการนำเสนอฉากแอ็คชั่น และเรื่องหักมุม (ส่วนตัวไม่ชอบภาคสองเท่าไหร่ เลยจำเนื้อหาไม่ค่อยได้แล้ว ฮ่าๆ) คิงส์แมนภาคต้นกำเนิดนี้ออกแนวพูดมากเกินไปหน่อย เหมือนกำลังดูหนังชีวประวัติของผู้ก่อตั้งคิงส์แมนอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งผมก็มองว่าเหมือนกำลังดูหนัง ‘ฟอร์เรส กัมป์’ อยู่ ภาคนี้เล่าเรื่องกินเวลาเป็นสิบปี พาให้เราเห็นการเติบโตคงเหล่าตัวละครที่ทั้งผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทั้งเหตุการณ์ดีสุดตัวและแย่สุดใจ จึงทำให้ปูเรื่องนานมากๆ ขณะที่เนื้อหาหลักของเรื่องก็จะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ มีแต่เรื่องน่าปวดหัวเพราะเต็มไปด้วยระบบทางราชการที่วุ่นวายและเชื่องช้า ซึ่งเป็นไปตามยุคสมัยที่การสื่อสารกันข้ามพื้นที่ไม่ได้ทำกันได้ง่ายนัก แถมหนังยังเต็มไปด้วยตัวละครมากมายที่เราไม่มีทางจำได้หมด (ยกเว้นรัสปูตินอ่ะนะ) ภาพรวมของเรื่องเล่าจึงเรียกว่าไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก เพราะส่วนตัวไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมาเจอเนื้อหาที่หนักและมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ รีวิวหนังดราม่า

แต่ส่วนดีก็ยังมีครับ และยังคงเป็นจุดแข็งของแฟรนไชส์นี้เสมอ นั่นก็คือฉากแอ็คชั่นทุกฉากยังคงนำเสนอออกมาได้สุดยอด ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความล้ำด้านมุมภาพในการนำเสนอ และท่วงท่าการต่อสู้ที่แปลกประหลาด น่าจดจำ แต่ก็ยังคงดูโหดและรุนแรงสมกับการห้ำหั่นกันเพื่อฆ่า (โดยเฉพาะฉากต่อสู้กับรัสปูตินนี่ผมชอบมาก) เนื้อหาที่น่าเบื่อก็ยังพอมีจุดหักมุมอยู่เนืองๆ ช่วยให้คาดเดาเรื่องได้ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ขณะเดียวกันการเชือดเฉือนกันด้านข้อมูลของกลุ่มสายลับแฝงตัวแต่ละฝั่งนั้นก็ยังคงทำได้สนุก แม้จะไม่ถึงกับมีใครมีแผนมาเหนือจนต้องร้องว้าว แต่ก็ยังนำเสนอออกมาได้ตอบโจทย์สมกับเป็นหนังสายลับอยู่ครับ

โปรดัคชั่นโดยภาพรวมสำหรับเรื่องนี้ยังคงยิ่งใหญ่สมแฟรนไชส์ครับ เพียงแต่เปลี่ยนสไตล์จาก 2 ภาคหลักที่เป็นการต่อสู้ยุคปัจจุบันที่มีอุปกรณ์การต่อสู้สุดไฮเทคมาเป็นยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 แทน จะไม่มีสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำใดเกิดขึ้นมากมาย ไม่มีอาวุธที่ล้ำไปกว่าปืนและดาบ (และร่มชูชีพ) แต่มีสิ่งที่มาทดแทนคือการสร้างฉากที่ทั้งสมจริงและเลอค่า งานเสื้อผ้าหน้าผมที่ทั้งงดงามและตอบโจทย์การสร้างภาพจำให้แต่ละตัวละครชัดเจนขึ้น งานวิชวลเอฟเฟ็คเองก็ยังคงนำเสนอออกมาได้อย่างสุดยอด ทั้งสวยงามและสมจริง ผสมเข้ากับการวางช็อตนำเสนอสุดล้ำก็ยิ่งได้มุมภาพที่แปลกตาให้เราชมอยู่เสมอ ซึ่งก็คงต้องชมมุมมองของผู้กำกับด้วยที่มีส่วนให้งานวิชวลเอฟเฟ็คดูเด่นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการวางกล้องไว้ที่ดาบหรือการซูมเข้าไปให้เห็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว ก็ล้วนแล้วแต่มาจากวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมของผู้กำกับ ขณะที่ทีมวิชวลเอฟเฟ็คเอง (รวมถึงทีมงานส่วนอื่น) ก็มีส่วนช่วยให้ช็อตเหล่านี้เกิดขึ้นจริงมาได้

Comments