รีวิวหนัง : Jason Bourne

ภาพยนตร์ภาคต่อของสายลับ เจสัน บอร์น กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนานถึง 9 ปี การกลับมาครั้งนี้จากตัวอย่างและโปสเตอร์ที่เห็นนั้น ดูแล้วไม่ธรรมดาจริง ๆ ภาคนี้ไม่ได้ใช้ชื่อแบบแพทเทิร์นเดิมอย่าง The Bourne… แต่ใช้ชื่อโค้ดเนม Jason Bourne เป็นชื่อภาพยนตร์เต็มตัว เจสัน บอร์น รับบทโดย แมตต์ เดมอน (Matt Damon) ในภาคนี้ดูดุดันและเอาจริงเอาจังมากขึ้น และเป็นการกลับมากำกับอีกครั้งของ พอล กรีนกลาส (Paul Greengrass) น่าสนใจว่าเขาจะทำให้สายลับคนนี้เดินไปในทิศทางไหนกันแน่

Jason Bourne ยอดจารชนคนอันตราย ว่าด้วยเรื่องราวของทางหน่วยข่าวกรองของรัฐถูกเจาะระบบฐานข้อมูล ซึ่งทำให้ทราบว่าแฮกเกอร์คนดังกล่าวมีเชื่อมโยงกับ เจสัน บอร์น รับบทโดย แมตต์ เดม่อน (Matt Damon) และเขากลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง เพื่อต่อจิกซอว์เรื่องราวในอดีตที่เขายังคลางแคลงใจ ทำให้เขาต้องถูกไล่ล่าตัวอีกครั้ง รีวิวหนังเอเชียเก่าและใหม่

ภาพยนตร์เดินเรื่องเป็นเส้นตรง ว่าด้วยเรื่องราวการปรากฏตัวอีกครั้งของสายลับที่ซีไอเอต้องการจะปิดปากอย่าง เจสัน บอร์น รับบทโดย แมตต์ เดมอน (Matt Damon) แต่ระหว่างทางก็จะตัดสลับให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตผ่านความทรงจำของเจสัน บอร์น ให้เห็นบ้างเล็กน้อย ตัวละครหลักมีไม่เยอะจนเกินไปตามแบบฉบับภาพยนตร์แอคชั่น ทำให้ไม่เกิดความสับสนของตัวละคร ในภาพรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นมาตรฐานของภาพยนตร์สายลับแอคชั่นทั่วไปที่คอภาพยนตร์แนวนี้จะไม่มานั่งหงุดหงิดกับเทคโนโลยีสมัยเก่าเมื่อ 9 ปีที่แล้วอย่างแน่นอน

แม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์สายลับแอคชั่นที่เน้นการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน แต่การไล่ล่าผ่านจอมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์นานเกินไป อาจทำให้เกิดความน่าเบื่อได้ง่าย ๆ ผมคิดว่าคือถ้าเทคโนโลยีของเจ้าหน้าที่ทำได้ขนาดนี้แล้ว การไล่ล่าผู้ชายเพียงคนเดียวน่าจะทำอะไรได้มากกว่า และฉากไฮไลต์สำคัญของภาคนี้คงเทน้ำหนักไปช่วงครึ่งหลังของภาพยนตร์ การไล่ล่าผู้ร้ายแบบระห่ำกลางลาสเวกัสเป็นอะไรที่ตื่นเต้นและสนุกสนานทีเดียว โดยเฉพาะฉากที่ขับฝ่าฝูงรถสร้างความสะใจได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ที่ไม่เคยชมภาพยนตร์แฟรนไชส์ เจสัน บอร์น มาก่อน ก็สามารถเข้าไปสนุกสนานกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาคนี้ได้ แม้ว่าอรรถรสในการรับชมอาจจะไม่เต็มร้อยเหมือนกับผู้ที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรก ๆ แต่เรื่องราวในภาคนี้ไม่ได้เข้าใจยากจนดูไม่รู้เรื่อง เพราะสิ่งสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการไล่ล่าไปมาระหว่างสายลับและเจ้าหน้าที่รัฐ การชิงไหวชิงพริบในการได้ข้อมูลทั้งการต่อสู้และการใช้เทคโนโลยี นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญในโลกยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้น ทว่าความเป็นส่วนตัวนั้นอาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ผู้มีอำนาจสามารถรู้ได้ทุกอย่าง

เมื่อโลกออนไลน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเริ่มย้ายจากกระดาษเข้าสู่ระบบออนไลน์ ระบบที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ง่ายและสะดวกสบายกำลังจะกลายเป็นอันตรายครั้งใหม่ที่ผู้คนบนโลกออนไลน์กำลังหวาดกลัว การที่ข้อมูลส่วนตัวขึ้นไปอยู่บนอากาศ ใครก็สามารถรับรู้ข้อมูลเหล่านั้นได้ ไม่เว้นแม้แต่มิจฉาชีพ รวมไปถึงผู้มีอำนาจของบ้านเมือง แม้หลายครั้งเรา ๆ ท่าน ๆ จะได้ยินถึงความปลอดภัยที่มีมากขึ้นบนโลกออนไลน์ ทว่าเบื้องลึกเบื้องหลังนั้นไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามันปลอดภัยจริงหรือไม่ การเปิดเผยตัวตนบนโลกออนไลน์ในยุคปัจจุบันอาจไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่คิด เพราะมิจฉาชีพมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ที่พร้อมจะทำร้ายเหยื่อได้อย่างคาดไม่ถึง

Comments