รีวิวหนัง : Doctor Strange (2016)

เช่นเดียวกับ Swinton ที่แค่ทำหน้านิ่งๆ บารมีก็มาแล้ว ผมชอบฉากที่เอนเชียนวันกับสเตรนจ์คุยในขณะที่มองโลก (ที่เกือบจะหยุดนิ่ง) ด้วยกันน่ะครับ (ใครดูแล้วคงเดาได้ว่าฉากไหน) มันสื่ออะไรได้หลายอย่างดี และผมว่าฉากนั้นเป็นฉากที่มีผลต่อตัวสเตรนจ์มากเลยล่ะ

Chiwetel Ejiofor ในบทมอร์โด ศิษย์พี่ของสเตรนจ์ กับ Mikkelsen ก็ถือว่าเล่นได้ดีเท่าที่บทจะอำนวยครับ เพียงแต่ความเด่นอาจไม่มากเท่านั้นเอง แต่คนที่ขโมยซีนได้มากกว่าที่คิดคือ Rachel McAdams ที่แม้จะมีบทไม่มาก และไม่ได้ตีคู่กับสเตรนจ์ (ไม่เหมือนเพพเพอร์หรือเจนที่จะได้อยู่ข้างพระเอกบ่อยกว่า) แต่พอเธอโผล่ทีไรก็จะมีอะไรชวนให้จดจำทุกที ฮาได้หลายรอบตอนเธอทำหน้างงนี่แหละ 555

งาน CG ก็เนี๊ยบดีครับ ล้ำจินตนาการดี แต่ก็ยอมรับเลยว่าผมตื่นตากับภาพที่เห็นไม่มากเท่าไร ส่วนหนึ่งเพราะเคยเจอของแบบนี้มาจาก Inception แล้วน่ะครับ พวกมิติบิดเบี้ยวอะไรทำนองนั้น พอมาดูเรื่องนี้เลยไม่ถึงกับตื่นเต้นอะไรมาก แต่ถ้ามองแบบไม่เอาหนังเรื่องอื่นมาเทียบ ก็ถือว่าหนังเล่นเรื่องนี้ได้ไม่เลวครับ

ในขณะที่ฉากการต่อสู้ก็ทำได้โอเค เพียงแต่ฉากแอ็กชันจะมีไม่มาก ก็เลยทำให้ดีกรีความมันส์สะใจของหนังอาจมีไม่มากเท่าไร เพราะมันไม่ได้มีฉากมันส์ๆ หรือฉากฟัดกัน ส่วนมากจะร่ายเวทย์สู้กัน เป็นแบบใช้สมองมากกว่าจะเป็นการใช้กำลัง อีกอย่าง สเตรนจ์ยังถือว่าเป็นจอมเวทย์มือใหม่ครับ เลยไม่แปลกที่พี่แกไม่ได้สำแดงเดชอะไรมาก รีวิวซีรี่ย์เกาหลี

ในบรรดาฉากแอ็กชันฟัดกันนั้น ผมชอบฉากที่เอนเชียน วันฟัดกับพวกเคซิเลียสในตอนแรกสุดน่ะครับ ดูมันส์และดูตื่นตาดี (รู้สึกว่าเอนเชียนเทพมาก) ทั้งการตัดต่อและลูกเล่น CG ทั้งหลายมันเหมือนเป็นฉากเบิกเนตรสำหรับผู้ชมยังไงยังงั้น ดังนั้นสำหรับผมฉากนี้แหละ ตื่นตาสุดแล้วล่ะ

ผู้กำกับ Scott Derrickson คุมหนังได้โอเคครับ แม้มันอาจจะไม่ได้ถึงกับลงตัวไปเสียทุกด้าน แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับดีเลยครับ ลีลาการเดินเรื่องถือว่าไว เน้นเดินไปข้างหน้า จนถึงนาทีนี้ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นผลงานที่สุดของเขานะ (ผลงานเรื่องแรกของเขาคือ Hellraiser: Inferno ครับ ซึ่งผมก็ชอบในระดับหนึ่งเหมือนกัน เลยติดตามผลงานของพี่แกเรื่อยมา)

หนังถือว่าทำหน้าที่เปิดโลกเวทย์มนต์ให้กับ Marvel ได้อย่างดีทีเดียวครับ แน่นอนว่าทุกอย่างที่เราเห็นในหนังนั้น เราอาจจะยังไม่เข้าใจมันทั้งหมด (เช่น เรื่องมิติและเวลา) แต่ผมว่ามันเป็นแค่การโหมโรงน่ะ เดี๋ยวต่อไปในอนาคตก็คงมีการขยายความต่อไปเรื่อยๆ ในสารพัดหนัง Marvel ที่จะตามกันออกมา

ผมว่าหนังทำออกมาได้ดีครับ เรียกว่าดีไล่ๆ กับ Iron Man ภาคแรกเลยล่ะ เพียงแต่โทนหนังจะเจือด้วยความจริงจังเยอะหน่อย ทำให้ลีลาไม่สวิงแบบ Iron Man อ้อ อีกอย่างคืออารมณ์ขันในเรื่องมีไม่เยอะครับ อย่างที่บอกว่าหนังออกแนวจริงจังมากกว่าจะเน้นสีสัน (ได้ข่าวว่า หนังมีการถ่ายทำเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มอารมณ์ขันด้วยครับ)

ส่วนดนตรีของ Michael Giacchino ถือว่าทำได้มีเอกลักษณ์เช่นเคย เพียงแต่ในหนังน่ะจะไม่ค่อยเน้นดนตรีเท่าไร เอาเป็นว่าใครอยากฟังแทร็กดนตรีเจ๋งๆ ล่ะก็ ให้ฟังตอน End Credits ครับ แต่ละแทร็กพริ้วไหว ได้กลิ่นอายแฟนตาซี+หลอน+เนปาล มากๆ ทีเดียว

ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุดในจักรวาล Marvel คือเห็นพี่ Benedict ไปเข้าจอกับ Robert Downey, Jr. ครับ มันต้องน่าสนใจมากแน่ๆ ทั้งในจอ (Iron Man เจอ Dr.Strange) และในฐานะนักแสดง (Holmes เจอ Holmes) ผมว่ามีฟินน่ะ

สรุปว่าคอหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ตามไปดูได้เลยครับ สนุกดี แต่ไม่เน้นแอ็กชันนะครับ เน้นจินตนาการอะไรแบบนั้นมากกว่า และหนังมีฉากซ่อน 2 ฉากครับ ฉากกลาง End Credits และอีกฉากอย่างหลัง End Credits จบครับ ถือเป็นฉากที่สำคัญต่อเนื้อเรื่องเลยล่ะ อย่าลืมนั่งรอดูกันให้ครบนะครับ ^_^

คะแนนความชอบ 8/10

Comments